ในการแข่งขันรอบก่อนรองชนะเลิศของยูโร 2024 ที่เยอรมนีเป็นเจ้าภาพ ทีมชาติสเปนได้รับชัยชนะเหนือเจ้าภาพในเกมที่เร้าใจไป 2-1 จากการทำประตูชัยของมิเกล มาริโน่ มิดฟิลด์จากเรอัล โซเซียดัด ทำให้แฟนบอลเยอรมันอย่างพวกเรา ชาวเจอดีที่ลุ้นระทึกตลอดเกมต้องกอดคอน้ำตาตก ไปเช่นเคย ซึ่งหลัง ๆ ก็มักจะเจ็บและชินชากันไปหมดแล้วสำหรับแฟนบอลเยอรมัน แต่อย่างน้อยตั้งแต่เริ่มเกม เราเห็นได้ชัดว่าจะนี่เป็นการต่อสู้ที่ดุเดือด โดยทั้งสองทีมใช้กลยุทธ์กองกลางที่วิ่งขึ้นลงตลอดสนามและการกดดันสูงหรือ High Pressing ในช่วงแรกเพื่อพยายามแย่งบอลมาครอบครอง
จริงๆ แล้วเหตุการณ์สำคัญเริ่มต้นตั้งแต่ช่วง 10 นาทีแรก เมื่อโทนี่ โครส ที่นัดนี้ดูจะมีความความก้าวร้าวกว่าปกติไปบ้าง ได้เข้าปะทะกับเปดรี ส่งผลให้มิดฟิลด์ดาวรุ่งแห่งบาร์เซโลน่าเล่นต่อไม่ไหวและต้องถูกเปลี่ยนตัวออกไป จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย ซึ่งไม่แน่ใจว่ามันเลยทำให้ทั้งเกมมีการตัดฟาวล์กันมากมายทำให้การต่อสู้ในแดนกลางมีความอึดอัด เพราะมีพื้นที่น้อยสำหรับทั้งสองทีมในการเคลื่อนไหว และการใช้มิดฟิลด์แบบ Box-to-Box ทำให้เกิดการแพคเกมในแดนกลางที่ค่อนข้างแน่นมาก
อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างสำคัญในเกมนี้อยู่ที่มิดฟิลด์ริมเส้นของทั้งสองทีม สำหรับเยอรมนี จามาล มูซิยาลา และเลรอย ซาเน่ ซึ่งปกติเป็นนักเตะอันตราย กลับดูผิดฟอร์มเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะมูซิยาลานั้น แทบไม่เห็นฟอร์มของนัดก่อนๆ เลย ส่วนตัวคิดว่าส่วนใหญ่เป็นเพราะฝีมือของดาเนียล คาร์บาฆาล ที่ความสามารถในการป้องกันของเขาทำลายการโจมตีหลายครั้งของเยอรมนี ป้องกันไม่ให้พวกเขาหาจังหวะได้
ในทางกลับกัน ปีกของสเปน ลามิเน ยามาล และนิโก้ วิลเลียมส์ สร้างปัญหาให้กับแนวรับเยอรมนีอย่างมาก และการโจมตีอย่างไม่หยุดยั้งของพวกเขาทางริมเส้นในที่สุดก็ได้ผล เมื่อดานี่ โอลโม่ตัวสำรองที่ถูกส่งลงมา สามารถทำประตูจากการจ่ายบอลอย่างยอดเยี่ยมของยามาล แต่หลังจากนั้น สเปนก็เปลี่ยนไปใช้กลยุทธ์ที่เน้นเกมรับมากขึ้น โดยเปลี่ยนตัวยามาลและวิลเลียมส์ออก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เยอรมนีสามารถเพิ่มจังหวะในการบุก อันนำไปสู่ประตูตีเสมอโดยฟลอเรียน เวิร์ตซ์ ในนาทีที่ 89 ทำให้เกมจบในเวลาปกติด้วยผลเสมอ 1-1 อย่างน่าตื่นเต้น
เมื่อเกมดำเนินต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ สิ่งที่มองเห็นได้ชัดคือผลกระทบจากการไล่ตีเสมอของเยอรมนีเริ่มปรากฏให้เห็นชัด ผู้เล่นสำคัญอย่างโครสและรูดิเกอร์เหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด ไม่สามารถรักษาระดับของเกมได้ ในทางตรงกันข้าม ทีมชาติสเปนที่มีอายุน้อยกว่าและสดกว่ายังคงสามารถกดดันเยอรมนีได้ต่อไป ความอึดและความแม่นยำในการส่งบอลของพวกเขาพิสูจน์ให้เห็นถึงความได้เปรียบอย่างชัดเจน
ในช่วงท้ายของการต่อเวลาพิเศษ ก่อนที่แอนโทนี เทย์เลอร์ จะเป่าจบเกม ดานี่ โอลโม่ ก็กลายมาเป็นตัวแสบอีกครั้งด้วยการจ่ายบอลอย่างยอดเยี่ยมให้มิเกล มาริโน่ โหม่งบอลผ่านมือ มานูเอล นอยเออร์เข้าประตู กลายเป็นประตูชัยทำให้สเปนชนะ 2-1 ทำให้สเปนเข้ารอบรองชนะเลิศ และยังทำให้เขากลายเป็นซุปเปอร์ซับของคืนนี้อีกด้วย
การพ่ายแพ้ครั้งนี้ถือเป็นความล้มเหลวอีกครั้งสำหรับเยอรมนี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นความล้มเหลวในการเข้าถึงรอบสี่ทีมสุดท้ายในทัวร์นาเมนต์ใหญ่นับตั้งแต่ยูโร 2016 ในฝรั่งเศส นอกจากนี้ เกมนี้ยังเป็นเกมอาชีพเกมสุดท้ายของโทนี่ โครส และยังน่าจะเป็นการปรากฏตัวครั้งสุดท้ายในทัวร์นาเมนต์ระดับทวีปสำหรับนักเตะอาวุโสอย่างโทมัส มุลเลอร์ และมานูเอล นอยเออร์ ซึ่งเป็นผู้เล่นที่เหลืออยู่ไม่กี่คนสุดท้ายจากทีมชุดแชมป์โลก
แม้จะผิดหวัง แต่ผมเองก็ยังมีแง่บวกสำหรับเยอรมนีเช่นเคย โดยมองว่าความพ่ายแพ้ครั้งนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับสมาคมฟุตบอลเยอรมัน (DFB) และเป็นโอกาสในการรีเซ็ตและสร้างอนาคต โดยการการก้าวขึ้นมาของดาวรุ่งอย่างโจชัว คิมมิช, ฟลอเรียน เวิร์ตซ์ และจามาล มูซิยาลา จะเป็นความหวังและรากฐานที่สำคัญสำหรับฟุตบอลเยอรมนีรุ่นต่อไป